วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

หลักกลยุทธ์ซุนวู 13 + 14 (จบบทความ)

บทที่ ๑๒ โจมตีด้วยไฟ

ใช้ไฟโจมตี มีอยู่ ๕ รูปแบบ คือ เผาข้าศึก เผาคลังเสบียง เผาอาวุธยุทโธปกรณ์ เผาคลังสรรพาวุธ และเผาทำลายเส้นทางลำเลียงเสบียง
      
       การโจมตีต้องมีวิธีการ และหลักการ คือการวางเพลิงเผาต้องดูสภาพภูมิอากาศ ดูวันเวลา

      ในการโจมตีด้วยไฟนั้น กำลังทหารเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยสนับสนุนพลิกแพลงไปตามการแปรเปลี่ยน นั้นคือ

      กรณีวางเพลิงจากในค่ายข้าศึก จะต้องมีสายลับแฝงตัวเข้าไปกระทำการ หรือคนที่ทรยศต่อข้าศึก โดยเอาผลประโยชน์เข้าล่อ ต้องเลือกวันเวลาที่เหมาะสม ส่วนนอกค่ายต้องเตรียมความพร้อมของกำลังทหาร พร้อมที่จะรุกทันที
     
      แต่หากว่าไฟได้ไหม้แล้ว ข้าศึกภายในยังสงบเงียบอยู่ ต้องคอยดูท่าทีข้าศึกให้แน่นอนเสียก่อน อย่าวู่วาม และต้องรอให้ไฟลุกลามใหญ่โตแล้ว แล้วค่อยตัดสินใจไปตามเหตุการณ์ ถ้าบุกเข้าโจมตีได้ก็ให้บุก ถ้าไม่ได้ก็หยุดรอก่อน

      ในกรณีที่ทำการวางเพลิงจากนอกค่ายข้าศึก ให้ศึกษาสภาพ ดิน ฟ้า อากาศ เวลา  ต้องดูทิศทางลม ให้วางเพลิงจากเหนือลม และไม่เข้าจู่โจมจากทางใต้ลม ในบางครั้งเวลากลางวันจะมีลมพัดนาน ส่วนกลางคืนมักจะอับลม

ผู้เป็นแม่ทัพพึงรู้จักใช้การโจมตีด้วยไปทั้งห้ารูปแบบนี้อย่างพลิกแพลง และรอจังหวะเวลาที่จะบุกโจมตี

      การโจมตีด้วยไฟนั้นเห็นผลชัดเจน การทำลายล้างสูง ความเสียหายเป็นวงกว้าง เกิดการสูญเสียมากมาย นอกจากไฟแล้วก็ยังมีน้ำที่สามารถโจมตีข้าศึกได้ แต่อานุภาพการทำลายล้างจะไม่เด็ดขาดเหมือนกับไฟ สามารถทำลายข้าศึกได้มาก แต่สร้างความเสียหายให้แก่อาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียงได้น้อย


                นี้คือการรู้ใช้พลังของธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ เมื่อใช้เป็นความเสียหายก็จะใหญ่หลวง ในปัจจุบันยังเห็นว่านอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ยังมีอาวุธที่ทำลายล้างสูงที่มนุษย์ผลิตขึ้นมาอีกเช่น อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธเคมี อาวุธชีวภาพ แล้วแต่ว่ามนุษย์จะสรรหามาทำลายล้างกันเอง



บทที่ ๑๓ การใช้สายลับ

ผู้ปกครองที่ฉลาด และผู้นำทัพที่มีสติปัญญาที่สามารถเอาชนะข้าศึกได้ ความสำเร็จส่วนหนึ่งอยู่ที่การใช้สายลับ (จารชน)

สายลับ มีอยู่ ๕ ประเภท คือ

ชาวพื้นเมืองข้าศึก

ไส้ศึก

สายลับสองหน้า

สายลับยอมพลีชีพ

และสายลับทั่วไป

หากสามารถใช้สายลับ ๕ ประเภทนี้พร้อมกัน ทำให้ข้าศึกไม่สามารถจับทางได้ และจะรู้สึกมืดแปดด้าน นี้เป็นความปาฏิหาริย์ จากการใช้สายลับ

       กองทัพใดที่ปราศจากสายลับ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่หูหนวก ตาบอด

๑. สายลับพื้นเมืองของข้าศึก คือ คนในท้องที่ของข้าศึก ที่เราสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ได้

๒. สายลับที่เป็นไส้ศึก คือ ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ภายในกองทัพข้าศึก ที่สามารถซื้อ หลอกล่อด้วยผลประโยชน์ได้

๓. สายลับสองหน้า คือ สายลับของข้าศึกที่มาหาข่าวฝ่ายเรา และถูกจับได้ พร้อมทั้งเกลี้ยกล่อมให้ยอมเป็นสายลับฝ่ายเรา กลับไปล้วงความลับข้าศึกอีกต่อหนึ่ง

๔. สายลับที่ยอมพลีชีพ คือ สายลับที่ถูกฝึกอย่างดี ที่แฝงตัวอยู่ในฝ่ายข้าศึกเพื่อสร้างข่าวลวงให้ข้าศึกหลงเชื่อ เมื่อถูกจับได้ก็พร้อมที่จะสละชีวิตของตน

๕. สายลับทั่วไป คือสายลับธรรมดาที่สามารถสืบสภาพความเป็นไปฝ่ายข้าศึก และสามารถรักษาตัวเองเอาชีวิตรอดกลับมาได้ พร้อมความลับข้าศึก

       ดังนั้น สายลับจะสนิทกับผู้เป็นแม่ทัพยิ่งกว่าทหารใด ๆ ไม่มีใครจะได้บำเหน็จรางวัลยิ่งกว่าสายลับ และไม่มีใครที่จะรู้ความลับทุกอย่างเทียบเท่าสายลับ

      ในการที่จะใช้สายลับได้ ต้องเป็นบุคคลที่ฉลาดปราดเปรื่องยิ่งกว่าสายลับ

      หากว่าไม่เป็นผู้ที่มีเมตตาธรรม มีน้ำใจโอบอ้อมอารีย์แล้ว จะไม่สามารถสั่งการสายลับได้

      และหากว่าไม่เป็นผู้ที่รู้จักสังเกต กอบกับมีความคิดที่ลึกล้ำแล้ว ก็จะไม่สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงที่ได้จากสายลับ

      ยังไม่เคยมีสงครามใดเลยที่จะไม่ใช้สายลับ หากว่าสายลับยังไม่ได้ถูกสั่งให้ทำงาน แต่มีการรั่วไหล แพร่งพรายของข้อมูลออกไป ก็ต้องจัดการสังหารทั้งสายลับ และผู้ที่รู้ความลับนั้น

      ในการสู้รบ เข้าโจมตีข้าศึก เข้ายึดเมือง และสังหารแม่ทัพนายกองข้าศึก จะต้องสืบให้รู้แน่ในรูปร่าง หน้าตา ชื่อ ยศ ตำแหน่ง หน้าที่เพื่อจะไม่ฆ่าได้ผิดตัว ความลับเหล่านี้จะได้จากสายลับที่นำข่าวมาบอก

      เมื่อมีสายลับจากข้าศึกมาหาข่าวภายในกองทัพ ต้องสืบจับตัวให้ได้ และทำการซื้อตัวโดยให้ผลประโยชน์ที่เหนือกว่า เพื่อล่อใจให้มาเป็นพวก จากนั้นก็ปล่อยตัวกลับไป ทำเช่นนี้ได้ก็สามารถใช้สายลับสองหน้าให้เป็นประโยชน์  และเมื่อรู้ข่าวจากสายลับสองหน้าแล้ว สามารถใช้สายลับสองหน้าไปหาสายลับพื้นเมือง และไส้ศึกได้ สามารถใช้สายลับที่ยอมตายนำข่าวลวงไปปล่อยในฝ่ายข้าศึก และสามารถใช้สายลับทั่วไปสืบหาข่าวกลับมารายงานเราได้

      ในบางครั้งกองทัพจะต้องอาศัยข่าวจากสายลับ เพื่อที่จะนำมาทำการวางแผนกำหนดยุทธการทางทหารเพื่อให้ได้ชัยชนะในศึกสงคราม



บทสรุป (จบ)

      ในการทำสงครามนั้น หากรบชนะได้ และยึดเมืองข้าศึกได้ แต่ไม่สามารถรักษาความมีเสถียรภาพแห่งสงครามได้ (ความมั่นคง ความสงบสุข) ก็จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
     
      ยกตัวอย่างเช่น กองทัพสหรัฐอเมริกาที่บุกโจมตีประเทศอิรัก สามารถเข้ายึดเมืองได้แต่ทว่าไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ ยังคงมีการโจมตีแบบกองโจรอยู่บ่อยครั้ง ระเบิดพลีชีพยังคงมีอยู่

      ดังนั้น ผู้ปกครองประเทศที่มีความสามารถ ย่อมจะพิจารณาในปัญหานี้อย่างสุขุมรอบคอบ ผู้นำทัพที่ดีต้องขบคิดปัญหานี้อย่างจริงจัง เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว มองไม่เห็นถึงทางที่ดีก็จะไม่ลงมือกระทำการ ไม่มั่นใจว่าจะชนะก็จะไม่นำทัพเข้าสู่สงคราม และเมื่อไม่มีสถานการณ์ใดมาบีบบังคับก็จะไม่ออกรบ

      ผู้ปกครองประเทศจะไม่ก่อสงครามด้วยอารมณ์โกรธชั่ววูบ ไม่นำกองทัพเข้าสู่สงครามเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยไม่ได้คำนึงต่อผลเสียหายที่ตามมา อารมณ์โกรธนั้นยังสามารถแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีได้ อารมณ์โมโหนั้นก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นอารมณ์ดีใจได้ แต่ถ้าชาติสิ้นสูญไปแล้ว ก็ไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้ฉันใด เหมือนดั่งคนตายไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นคืนชีวิตได้ฉันนั้น

      ดังนั้น ในการที่จะตัดสินใจเข้าสู่สงคราม ผู้ปกครองประเทศต้องคิดให้อย่างรอบคอบ คิดถึงผลได้ผลเสียที่จะตามมา ต้องมีความสุขุมคัมภีร์ภาพ ส่วนกองทัพนั้นต้องคอยระวังป้องกัน และเตรียมความพร้อมไว้เสมอ นี้คือหลักที่สำคัญถึงการที่จะดำรงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้ให้มั่นคง และยังสามารถที่จะปกป้องประชาชน และกองทัพให้อยู่รอดปลอดภัยอีกด้วย