วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

หลักกลยุทธ์ซุนวู 11 + 12



บทที่ ๑๐ ลักษณะภูมิประเทศ

ลักษณะของภูมิประเทศมี ๖ ลักษณะด้วยกัน คือ พื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายเดินทางได้สะดวก

พื้นที่ที่เข้าไปแล้วออกมายาก

พื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายเข้ารบกันไม่สะดวก

พื้นที่ที่เป็นจุดคับแคบ

พื้นที่อันตราย

และพื้นที่ที่มีระยะทางไกล


       พื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายเดินทางได้สะดวก คือพื้นที่ที่ฝ่ายเราเข้าได้ ฝ่ายข้าศึกก็เข้าได้ ในพื้นที่นี้ฝ่ายไหนเข้าพื้นที่ก่อนได้เปรียบ ควรยึดทำเลที่สูงที่สามารถมองภาพรวมได้กว้างไกล และมีทางส่งกำลังสนับสนุนได้อย่างสะดวก

       พื้นที่ที่เข้าไปแล้วออกมายาก คือพื้นที่ที่บุกเข้าไปได้ง่ายดาย แต่เวลาถอยกลับออกมานั้นยากเย็น ถ้าข้าศึกไม่ได้เตรียมการป้องกันไว้แล้วกองทัพบุกเข้าโจมตีก็สามารถเอาชนะได้ไม่ยากเย็น แต่ถ้าข้าศึกป้องกันตนเองอย่างดี การที่จะเอาชนะนั้นก็ยาก ซ้ำยังเป็นการถอยออกมายากด้วย ความเสียเปรียบก็จะตกอยู่กับฝ่ายเรา

      พื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายเข้ารบกันไม่สะดวก คือพื้นที่ที่เข้าไปแล้วมีความเสียเปรียบกันทั้งสองฝ่าย รบกันลำบาก ถ้าตกอยู่ในพื้นที่แบบนี้อย่ารบในที่นั้น แม้ว่าข้าศึกจะออกมาหลอกล่อให้สู้รบด้วย ก็อย่าหลงกล ควรที่จะหลอกล่อข้าศึกแล้วทำทีแพ้และแสร้งล่าถอย หลอกข้าศึกตามมาแล้วจึงเข้าตีเป็นเช่นนี้จึงจะได้เปรียบ

      พื้นที่ที่เป็นจุดคับแคบ คือพื้นที่ที่มีลักษณะเหมือนคอขวด สามารถทำให้กองทัพฝ่ายเราหรือฝ่ายข้าศึกต้องทยอยกันเข้าไปไม่สามารถยกเข้าไปเป็นกองทัพได้ ถ้าเรายึดพื้นที่นี้ได้ก่อน และทำการป้องกันปากทางเข้าได้ แม้จะมีกำลังทหารน้อยเราก็มีความได้เปรียบ เพราะข้าศึกจะ เข้ามาได้ทีละน้อย แต่ถ้ากองทัพข้าศึกเข้ายึดพื้นที่นี้ได้ก่อน อย่าบุ่มบ่ามเข้าไป ทำการตรวจลาดตระเวนความเป็นไป ถ้าหากปากทางไม่ได้ป้องกันไว้ก็สามารถทำการรบจู่โจมได้

       พื้นที่อันตราย ต้องรีบเข้ายึดพื้นที่นี้ก่อนข้าศึก และให้เลือกตั้งกองกำลังในที่สูงมองเห็นได้ชัดเจนกว้างไกล รอคอยข้าศึกมาและเข้าโจมตีจะมีความได้เปรียบมาก แต่ถ้าหากข้าศึกยึดพื้นที่ได้ก่อนอย่าได้เข้าไปใกล้พื้นที่นี้เด็ดขาด ให้รีบถอยออกมา

      พื้นที่ที่มีระยะทางไกล คือระยะทางในการรบของทัพเรากับฝ่ายข้าศึกห่างไกลกันมาก แม้ว่าข้าศึก และเรามีกำลังพอกันก็ไม่ควรรบ หรือฝืนรบด้วยเพราะจะมีความเสียเปรียบในระยะทาง ความล้าในการเดินทาง และเรื่องการส่งกำลัง เสบียง จึงไม่มีประโยชน์ในการรบ

นี้คือพื้นที่ทั้ง ๖ ลักษณะ เป็นการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในการรบ เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่สำคัญของแม่ทัพที่จะวิเคราะห์เพื่อชัยชนะแห่งกองทัพ

ลักษณะภูมิประเทศเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งสนับสนุนทางด้านการรบเท่านั้น หากแต่อยู่ที่ตัวผู้นำทัพที่ฉลาด มีการวิเคราะห์วางแผนเพื่อชัยชนะ สำรวจดูภูมิประเทศก่อนว่าสมควรหรือไม่ อันตรายหรือไม่ และคำนึงถึงสภาพการเดินทัพว่าห่างไกลเพียงใด ผู้นำเท่านั้นที่จะคิดสภาพการณ์ เข้าใจในเหตุแลผลเหล่านี้ให้ได้ ทั้งหมดจึงอยู่ที่ผู้นำทัพที่จะบังคับบัญชาการสู้รบ

ถ้าหากว่าผู้นำทัพสามารถพินิจพิเคราะห์ด้วยเหตุและผลทางยุทธศาสตร์แล้ว คิดว่าสมควรที่จะทำการรบ แม้ว่าผู้ปกครองสูงสุดของประเทศจะสั่งห้ามรบ ผู้นำทัพก็สามารถตัดสินใจเด็ดขาดสั่งการรบได้ แต่หากพินิจพิเคราะห์ด้วยหลักแห่งยุทธศาสตร์แล้วว่าไม่สมควรรบ แม้ว่าผู้ปกครองสูงสุดของประเทศจะสั่งให้รบ แม่ทัพก็อาจตัดสินใจที่จะไม่เข้ารบก็ได้

ผู้นำทัพต้องไม่มุ่งหวังในเกียรติยศชื่อเสียง ไม่กลัวต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้องใด ๆ มีจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ที่เชิดชูคุณธรรม ปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ผู้นำทัพเช่นนี้แหละที่ประเทศชาติต้องการ และถือเป็นสมบัติอันล้ำค่าของบ้านของเมือง


ความพ่ายแพ้ในการสู้รบนั้นมีอยู่ ๖ ข้อ 

๑. ความมุทะลุบ้าบิ่นแบบไม่มีความคิดของผู้นำ และทหาร เมื่อเรามีกำลังรบมากพอ ๆ กับฝ่ายข้าศึก แต่ไม่ใช้กำลังที่มีไปต่อสู้กัน ประมาทต่อข้าศึก และใช้กำลังเพียงยิบมือเข้าต่อสู้

๒. ความหย่อนยานต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แม้กองทัพมีอาวุธดี พร้อมกับมีการฝึกทหารมาอย่างดี แต่นายทหารผู้บังคับบัญชาหย่อนยานไม่มีความสามารถต่อหน้าที่ที่จะบัญชาผู้อื่น

๓. ความอ่อนแอของกองทัพ แม้ว่าจะมีแม่ทัพที่เก่ง แต่ทหารที่จะสู้รบมีความอ่อนแอ ทำให้กำลังรบอ่อนแอไปด้วย

๔. การขัดคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เมื่อมีความขัดแย้งกันของนายทหารที่บัญชาการ ไม่ยอมทำตามแผนที่ได้วางไว้ ไม่มีความสามัคคี ทำอะไรโดยพลการ ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ก็ไม่สามารถควบคุมได้

๕. การขาดวินัย ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ แม่ทัพที่อ่อนแอ ปกครองทหารไม่ได้ ไม่เด็ดขาด และฝึกทหารไม่ดี ทหารขัดแย้งกันเอง ความเป็นระเบียบก็หมดไป

๖. การวางแผน และคาดการณ์ที่ผิดพลาด ไม่วางคนตามตำแหน่ง ตามความรู้ความสามารถ อ่านแผนการรบไม่ขาด  เป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวง

ทั้ง ๖ ประการนี้เป็นสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ เมื่อเกิดขึ้นอย่าได้ไปโทษ ดิน ฟ้า อากาศ หากเป็นความผิดพลาดของทหารโดยเฉพาะผู้ที่เป็นผู้นำทัพ
               
      ถ้าแม่ทัพรู้แต่ว่าตนมีกำลังที่จะโจมตีข้าศึกได้ แต่ไม่รู้ว่าข้าศึกมีกำลังมากไม่สามารถเข้ารบได้ ความหวังที่จะชนะมีเพียงครึ่งหนึ่ง และถ้ารู้แต่ว่า ข้าศึกมีกำลังไม่มากสามารถเข้าตีได้ แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายตนก็มีกำลังไม่พอที่จะโจมตีข้าศึกได้เช่นกัน ความหวังที่จะรบให้ชนะก็มีเพียงครึ่งเดียว ถ้ารู้ว่าข้าศึกมีกำลังไม่มากสามารถเข้าทำการรบได้ และฝ่ายตนมีกำลังพอที่จะทำการรบด้วย แต่ไม่รู้ว่าฝ่ายตนอยู่ในภูมิประเทศที่เสียเปรียบ ความหวังที่จะชนะก็มีเพียงครึ่งเดียว ดังนั้น ผู้ที่รู้หลักสงคราม ย่อมคิดการณ์ไม่พลาด และสามารถพลิกแพลงกลยุทธได้เป็นร้อยเป็นพันวิธีโดยไม่มีทางที่จะหมดหนทาง กล่าวได้ว่ารู้เขารู้เรา สามารถชนะศึกได้โดยไม่มีอันตราย และยิ่งรู้สภาพดิน ฟ้า อากาศ สภาพภูมิประเทศด้วยแล้ว ชัยชนะย่อมเกิดขึ้น




บทที่ ๑๑ พื้นที่ ๙ ลักษณะ

พื้นที่ยุทธศาสตร์แบ่งพื้นที่ได้เป็น ๙ ลักษณะ

พื้นที่ทำลายขวัญ

พื้นที่แนวหน้า 

พื้นที่ที่ได้เปรียบ

พื้นที่เข้า-ออกสบาย 

พื้นที่น้ำมิตร

พื้นที่ล่อแหลม

พื้นที่วิบาก 

พื้นที่คอขวด 

และพื้นที่ความตาย

       พื้นที่ทำลายขวัญ คือ เมื่อกองทัพข้าศึกมารบในดินแดนเรา หรือเข้ามารบในพื้นที่ที่เราคาดไม่ถึง และทหารฝ่ายเราเกิดขวัญหนีดีฝ่อ ขวัญกองทัพก็จะไม่มี กำลังใจสู้รบก็จะถดถอย ถ้าอยู่ในพื้นที่นี้ไม่ควรที่จะรบ ถ้ารบก็ให้แตกหักโดยเร็ว เพราะขวัญกำลังใจกองทัพยังไม่พร้อม

      พื้นที่แนวหน้า คือ แนวรบด้านหน้าที่ทัพเราเข้าทำการรบกับข้าศึก ถ้าตกอยู่ในพื้นที่ตรงนี้อย่าได้หยุดทัพโดยไม่มีความจำเป็น ควรมุ่งหน้าเดินทัพต่อไป

       พื้นที่ที่ได้เปรียบ คือ พื้นที่ที่ฝ่ายเรามีความได้เปรียบทางยุทธภูมิ การรบก็เกิดการได้เปรียบขึ้น ถ้าตกอยู่ในพื้นที่นี้ต้องรีบเข้าชิงพื้นที่ หากว่าข้าศึกยึดได้ก่อนก็อย่าวู่วามบุกเข้าตี

       พื้นที่เข้า-ออกสบาย คือ พื้นที่ที่ทั้งฝ่ายเรา ฝ่ายข้าศึกเข้าออกได้อย่างสะดวกสบาย ง่ายดาย ถ้าอยู่ในพื้นที่นี้ ต้องยึดไว้ และวางกำลังทหารตลอดแนวต่อเนื่องกัน อย่าให้ขาดการติดต่อทั้งกองทัพ

       พื้นที่น้ำมิตร คือ พื้นที่ที่ฝ่ายใดบุกถึงก่อน และมีสัมพันธไมตรีกับประเทศรอบด้าน ประเทศทั้งหลายก็ให้การช่วยเหลือ ถ้าอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ให้เจริญสัมพันธไมตรีรอบด้าน และดึงเข้ามาเป็นพวกเพื่อการสนับสนุนด้านการรบ

       พื้นที่ล่อแหลม คือพื้นที่ที่ข้าศึกได้บุกเข้ามา และยึดพื้นที่นั้นได้แล้ว พื้นที่ส่วนนั้นก็จะอยู่ในกำมือข้าศึกอย่างไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเป็นหรือตาย ถ้าตกอยู่ในพื้นที่นี้ต้องเตรียมรบแบบกองโจร คอยปล้นสะดม และตุนเสบียงเอาไว้

       พื้นที่วิบาก คือ พื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางทางธรรมชาติในการเดินทัพ เช่น ป่าเขา แม่น้ำ ห้วยหนอง คลอง บึง ถ้าตกอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ให้รีบเคลื่อนทัพออกห่างจากพื้นที่นั้นโดยเร็ว

       พื้นที่คอขวด คือ พื้นที่ที่ปากทางแคบการเดินทัพต้องทยอยเดินผ่าน เมื่อข้าศึกจู่โจมก็สามารถนำกำลังน้อยเข้ารบ และชนะกำลังมากอย่างง่ายดาย ถ้าตกอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ทางแก้ต้องรีบวางแผนที่จะตีฝ่าออกไปให้ได้

       พื้นที่ความตาย คือ พื้นที่ที่ต้องรบชนะให้เร็วไม่เช่นนั้น ก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถ้าตกอยู่ในพื้นที่นี้ต้องสู้ตายเพื่อความอยู่รอด

ผู้เชี่ยวชาญในการรบ ย่อมสามารถทำให้ข้าศึก

-          กองกำลังข้าศึกทั้งแนวหน้า และกองหนุนไม่สามารถเข้าช่วยเหลือกันได้ทัน ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง


-          หน่วยหลักกับหน่วยย่อยต่างคนต่างรบกันอย่างชุลมุน


-          เกิดความระส่ำระสายในกองทัพทั้งแม่ทัพ และทหาร


-          หน่วยเหนือ และหน่วยขึ้นตรงขาดการติดต่อกัน

-          ทหารข้าศึกมีความสับสนวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ

ฯลฯ

      ผู้ที่เชี่ยวชาญในการรบ ที่สามารถทำได้อย่างนี้ และมองว่าทัพฝ่ายเราได้เปรียบ ก็ให้บุกเข้าโจมตี แต่ถ้าดูรูปการแล้ว ไม่ได้เปรียบ ก็อย่าได้เข้าโจมตี


      จะทำอย่างไร ถ้าข้าศึกมีความพรั่งพร้อมทุกอย่างทั้งกำลัง และสรรพาวุธที่กำลังจะบุกโจมตีเรา

      คำตอบก็คือจงตั้งสติ อย่าประมาท และวางแผนที่โจมตีข้าศึกในส่วนที่ข้าศึกมีความหวงแหน (กล่องดวงใจ) แล้วข้าศึกก็จะยินยอมทำตามทุกอย่างโดยไม่มีทางขัดขืน


หลักสำคัญในการทำสงคราม และเป็นหลักที่ผู้นำทัพต้องยึดถือ

       ความรวดเร็ว ทำอะไรต้องทำอย่างรวดเร็ว รอบคอบ

       ช่วงชิง ความได้เปรียบจากการที่ข้าศึกไม่ได้เตรียมตัว  

       ทำสิ่งไม่คาดฝัน ทำในสิ่งที่ข้าศึกคาดคิดไม่ถึง

       เข้าตีเมื่อประมาท ช่วงที่ข้าศึกมีความประมาทไม่ระมัดระวังตัว

      หลักสำคัญเมื่อรุกเข้าไปสู่ดินแดนข้าศึก ก็คือการสามัคคี รวมพลังกันอย่างแน่นหนา แล้วจะไม่มีใครต้านได้

      วางแผนในการรู้จักใช้พื้นที่ด้วยความเหมาะสมตามยุทธศาสตร์ พร้อมกับมีกองกำลังที่ปรับตัวได้ตามพื้นที่ที่เข้ารบ จะสร้างความได้เปรียบให้กองทัพ และสร้างความกล้าหาญให้เหล่าทหาร นั่นคือจุดมุ่งหมายในการบริหารกองทัพ

      ผู้นำทัพที่ดีต้อง สงบสุขุม เยือกเย็น ไม่หวั่นไหว ไม่ลำเอียง สามารถควบคุมสติตัวเองได้ สามารถเปลี่ยนแผน และพลิกแพลงกลยุทธได้ โดยข้าศึกไม่สามารถคาดเดาว่ากำลังทำอะไรอยู่ เป็นศูนย์รวมขวัญกำลังใจของเหล่าทหาร และพร้อมต่อสู้ทุ่มเทในสภาวะที่ดูเหมือนหมดสิ้นหนทาง นี้ก็คือ หน้าที่ของผู้เป็นแม่ทัพ

      พื้นฐานในการปฏิบัติการทางทหาร อยู่ที่สามารถปรับตัวเองให้สอดคล้องกับสภาวะ สถานการณ์ และเปลี่ยนไปตามแผนของข้าศึก

      ศึกษาติดตามสถานการณ์ความเป็นไปของข้าศึก เพื่อที่จะนำมาปรับใช้กับแผนของกองทัพฝ่ายเรา
        





วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

หลักกลยุทธ์ซุนวู 9 + 10



บทที่ ๘ ความผันแปร ๙ ประการ

อย่าตั้งค่ายอยู่ในพื้นที่ที่ลุ่ม เปียกชื้น ชื้นแฉะ

ผูกสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นเส้นทางผ่าน

ไม่รีรอ ล่าช้าในพื้นที่ที่ไปมาไม่สะดวก การขนส่งเสบียง และยุทโธปกรณ์ลำบาก

หากเข้าไปในพื้นที่ที่ข้าศึกล้อมเอาไว้ ขอจงรีบหาทางหนีออกมาให้เร็ว

เมื่อตกอยู่ในพื้นที่ที่หนีไม่ได้ ก็ต้องต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด

ในบางครั้งจะไม่เดินบนเส้นทางที่น่าเดิน

ในบางครั้งที่เจอข้าศึกที่สามารถเข้าโจมตีได้ง่ายก็จะไม่เข้าโจมตี

จะไม่เข้าบุกยึดเมืองบางเมืองแม้ว่าจะเข้ายึดได้ง่าย ไม่แย่งชิงพื้นที่บางแห่ง

และบางครั้งก็ไม่จำเป็นที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้มีอำนาจปกครองสูงสุด

 จงทำเมื่อคิด และตรองดูแล้วว่าเหมาะว่าควร เป็นประโยชน์ต่อชนหมู่มาก

      แม่ทัพที่ชำนาญศึกย่อมรู้จักใช้หลักสิ่งผันแปรทั้ง ๙ นี้เพื่อชิงความได้เปรียบ และย่อมรู้ว่าจะจัดการกระบวนศึกอย่างไร แม่ทัพที่ขาดประสบการณ์ ก็ไม่สามารถนำความผันแปรทั้ง ๙ มาใช้ได้เช่นกัน

      แม่ทัพที่ชาญฉลาดจะทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้น และคำนึงถึงผลได้ผลเสียไปพร้อมกัน หากอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบ ต้องมองเห็นความได้เปรียบในความเสียเปรียบนั้น ก็จะช่วยสร้างความความมั่นใจให้แก่เหล่าทหารหาญ ภารกิจก็จะลุล่วง เมื่อมีความได้เปรียบ อย่าประมาท ให้ทบทวนให้เห็นถึงความเสียเปรียบในความได้เปรียบนั้น จะได้สกัดเหตุที่ไม่คาดฝันได้ทันท่วงที

      แคว้นข้าศึกกลัวอะไร ก็ให้ใช้ความกลัวนั้นเข้าข่มแคว้นข้าศึก ทำทุกทางที่จะให้ข้าศึกทะเลาะกันเอง และใช้ผลประโยชน์เข้าล่อ เพื่อให้แคว้นที่มีความโลภฝักใฝ่อยู่ข้างเรา เพื่อให้เราหาประโยชน์ในแคว้นนั้น

      อย่าวางใจนิ่งนอนใจว่าข้าศึกจะไม่มาราวี จงเตรียมพร้อมรับมือไว้เสมอ และอย่าวางใจว่าข้าศึกจะไม่โจมตีเรา เราต้องทำกองทัพให้แข็งแกร่งตลอดเวลาเพื่อให้ข้าศึกสู้เราไม่ได้

ลักษณะบุคลิกที่อาจจะเป็นอันตรายต่อผู้นำทัพ ๕ ประการ

๑. แม่ทัพที่คิดจะสู้ตายอย่างเดียว อาจถูกลวงไปฆ่าได้

๒. แม่ทัพที่กลัวตาย อาจถูกจับเป็นเชลยศึก

๓. แม่ทัพที่โกรธโมโหง่าย อาจหลงกลถูกข้าศึกหลอก

๔. แม่ทัพที่ถือเกียรติยศ ถือตนบริสุทธิ์ อาจตกหลุมพรางถูกข้าศึกใส่ร้ายป้ายสีได้

๕. แม่ทัพที่ยึดถือแต่ความ รักราษฎร แต่อย่างเดียว ก็อาจมีความยุ่งยากลำบากใจได้  

ทั้ง ๕ ประการนี้มักเป็นจุดอ่อน เป็นอันตรายต่อผู้เป็นแม่ทัพ ที่สามารถกระทำผิดได้ง่าย อาจจะเป็นผลร้ายต่อการลงมือปฏิบัติการทางทหารด้วย ผลเสียที่ตามมาอาจเกิดพินาศย่อยยับของกองทัพ รวมไปถึงตัวแม่ทัพเองอาจถูกฆ่าไปด้วย ขอให้คิดวิเคราะห์ให้ดี







 บทที่ ๙ การเดินทัพ

จัดวางกำลังรบเพื่อคอยสังเกตการณ์ และตั้งค่ายรับข้าศึก

ภูมิประเทศเป็นภูเขา เมื่อยกทัพผ่านขุนเขา ต้องเดินใกล้ที่ที่มีแหล่งน้ำ จงตั้งทัพบนที่สูง และจัดวางกำลังรบได้ อย่ารุกขึ้นไปยึดเนินสูงที่ข้าศึกยึดไว้ก่อน

ในพื้นที่ที่มีแม่น้ำ ให้ตั้งค่ายห่างแม่น้ำ และตั้งค่ายบนพื้นที่สูง อย่าหันทัพเข้าหาสายน้ำ เมื่อข้าศึกข้ามแม่น้ำมารบอย่าพึ่งเข้ารบให้รอจนกว่าข้าศึกข้ามน้ำมาเกินครึ่งทางเสียก่อน จึงเข้าตีจะได้ผลดีกว่ารบกันบนบก เมื่อยกทัพผ่านห้วย หนอง คลอง บึง ต้องรีบเคลื่อนทัพโดยเร็ว ถ้าพบข้าศึกในพื้นที่ที่เป็นน้ำ ต้องรีบเข้ายึดพื้นที่ที่มีพืชน้ำขึ้นหนาแน่น  และต้องหันหลังอิงป่าไว้ 

ในการรบบนพื้นที่ราบ ต้องวางกำลังครอบคลุมบริเวณกว้างรอบค่าย ให้ส่วนที่สำคัญตั้งอยู่ในที่ลักษณะด้านหน้าเป็นที่ต่ำ และด้านหลังเป็นที่สูง
               
      ในการตั้งค่ายนั้นต้องตั้งอยู่บนที่สูง และแห้ง อย่าตั้งค่ายในพื้นที่เฉอะแฉะ โดยหันหน้าค่ายไปทางที่มองภาพรวมได้กว้าง

      ตั้งทัพใกล้แหล่งที่มีน้ำ มีอาหารอุดมสมบูรณ์ เพื่อป้องกันทหารอดอยาก และมีโรคภัยไข้เจ็บ การเลือกภูมิประเทศที่ดีเป็นส่วนช่วยเกื้อหนุนด้านการรบ

      ไม่ตั้งค่ายที่ปลายน้ำ เพราะเมื่อมีฝนตกหนักอาจมีน้ำป่าไหลหลาก เมื่อยกทัพผ่านภูมิประเทศเป็นหน้าผาสูง หุบเหว ซอกเขา มีป่าทึบโดยรอบ ป่ารกชัฏ ที่เป็นโคลน ต้องรีบเดินทัพอย่างรวดเร็ว อย่าได้รั้งรอ และเมื่อมาสำรวจให้สำรวจภูมิประเทศเหล่านี้อย่างระมัดระวัง เพราะข้าศึกอาจตั้งกองกำลังซุ่มอยู่

                เมื่อข้าศึกยกทัพมาใกล้ และท่าทีเงียบสนิท แสดงว่าข้าศึกมีชัยภูมิที่ได้เปรียบรอเราอยู่

เมื่อข้าศึกมาท้ารบโดยที่ทัพข้าศึกอยู่ห่างไกลจากเรา แสดงว่าข้าศึกคิดล่อให้เราออกไป

เมื่อข้าศึกตั้งทัพในที่โล่ง ก็แสดงข้าศึกคิดว่ามีความได้เปรียบอยู่

เมื่อรบใกล้แนวป่าให้ระวังข้าศึกพรางตัวมาตามแนวป่า และให้ระวังกลลวงที่ข้าศึกได้วางเอาไว้

ถ้าเห็นนกกาแตกฮือบินหนีในป่า แสดงว่าข้าศึกซ่อนตัวอยู่ในป่า

ถ้าเห็นฝูงสัตว์แตกตื่นวิ่งหนี แสดงว่าข้าศึกยกทัพใหญ่มีต่อสู้

ถ้าเห็นฝุ่นตลบลอยสูง แสดงว่ามีรถศึกมา และเห็นฝุ่นตลบลอยต่ำแสดงว่าข้าศึกยกพลเดินเท้ามา

ถ้าเห็นฝุ่นลอยฟุ้ง กระจัดกระจาย แสดงว่าข้าศึกลากกิ่งไม้

ถ้าเห็นฝุ่นเบาบาง แสดงว่าข้าศึกกำลังตั้งค่าย

ถ้าข้าศึกส่งตัวแทนมาเจรจาอย่างอ่อนน้อม แต่อีกทางหนึ่งกำลังเสริมกำลังรบ แสดงว่าข้าศึกซื้อเวลาเตรียมการบุกใหญ่

  ถ้าข้าศึกส่งตัวแทนมาเจรจาด้วยท่าทีที่โอหังแข็งกร้าว และฝ่ายทัพข้าศึกแสดงทีที่จะบุกโจมตี แสดงว่าข้าศึกกำลังเตรียมถอยหนี

ถ้าข้าศึกแบ่งกำลังรบวางขนาบ ออกเป็นสองข้าง แสดงว่ากำลังจัดกระบวนทัพเพื่อเตรียมรบขั้นแตกหัก

ถ้าทัพข้าศึกวิ่งไปมาและจัดทัพอย่างเป็นระเบียบ แสดงว่าข้าศึกเตรียมที่จะรบถึงขั้นแตกหัก

ถ้าข้าศึกส่งตัวแทนมาเจรจาของสงบศึก โดยกองทัพยังไม่ได้รับความสูญเสีย และไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยัน ก็แสดงว่าข้าศึกเตรียมกลลวงไว้

ถ้าข้าศึกเข้ารบบ้าง ถอยบ้างแสดงว่าข้าศึกต้องการล่อให้ ไปติดกับ

ถ้าข้าศึกยืนแล้วเอาอาวุธยันกาย แสดงว่าข้าศึกอดอาหาร และกำลังหิวโซ

ถ้าข้าศึกดื่มกินน้ำอย่างเร่งรีบ แสดงว่าข้าศึกกระหายน้ำจัด

ถ้าข้าศึกไม่บุกเข้าโจมตีขณะที่ตัวเอง มีความได้เปรียบอยู่ แสดงว่าข้าศึกอยู่ในสภาพอ่อนล้า อิดโรย

ถ้ามีนกกาจับฝูงบินวนเหนือค่ายข้าศึก แสดงว่าเป็นค่ายร้าง

ถ้าข้าศึกมีความตระหนกตกใจ แสดงว่าข้าศึกเริ่มหวาดกลัว

ถ้าเกิดความชุลมุนวุ่นวายในค่ายข้าศึก แสดงว่าแม่ทัพนายกองไม่เป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าทหาร

ถ้าธงข้าศึกโบกไหวไม่เป็นระเบียบ แสดงว่าข้าศึกมีความชุลมุนวุ่นวาย

ถ้านายทหารของข้าศึกมีความหงุดหงิด โกรธง่าย แสดงว่ากองทัพเหนื่อยอ่อนไร้เรี่ยวแรง

ถ้าข้าศึกหุงหาอาหารกิน และไม่เก็บภาชนะเหล่านั้น แสดงว่าข้าศึกกำลังเตรียมสู้ตาย

ถ้าแม่ทัพนายกองข้าศึกพูดจากับทหารผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างนบนอบขาดความสง่างาม แสดงว่าแม่ทัพนายกองนั้นไม่เป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าทหาร

ถ้าแม่ทัพนายกองต้องให้รางวัลแก่ทหารอยู่เสมอ แสดงว่าแม่ทัพนายกองจนปัญญาที่จะบังคับบัญชาเหล่าทหาร

ถ้าแม่ทัพนายกองลงโทษทหารอยู่เสมอ แสดงว่าทัพข้าศึกกำลังเข้าตาจนอยู่ในสภาวะที่ลำบาก

ถ้าแม่ทัพนายกองแสดงความเหี้ยมโหดกับทหาร ภายหลังมาหวาดระแวง แสดงว่าผู้นั้นเป็นคนนำทัพที่ไม่ฉลาด
ถ้าข้าศึกส่งของกำนัลมาเพื่อที่จะเจรจา แสดงว่าข้าศึกนั้นกำลังขอพักรบเพื่อให้ทหารได้พักผ่อน

และถ้าข้าศึกยกทัพมาประชิดค่าย ตั้งทัพอยู่นานซ้ำยังไม่ยอมออกมารบด้วย และไม่ยอมถอยกลับ ให้คิดหาเหตุผลของข้าศึก พร้อมกับระมัดระวังให้ดี

      ในการรบนั้น ฝ่ายที่มีกำลังมากก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป ขอเพียงอย่าวู่วามบุ่มบ่ามขาดสติในการบุกโจมตีข้าศึก จงรวบรวมกำลังทหาร และพิจารณาสภาพการณ์ของข้าศึก พร้อมกับสร้างความสามัคคีในหมู่คณะเท่านี้ก็เพียงพอในการที่จะให้กองทัพดำรงอยู่ได้ พร้อมที่จะเอาชัยชนะ แม่ทัพที่ไม่มีความคิดซ้ำยังประมาทกำลังของข้าศึก ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องพ่ายแพ้ตกเป็นเชลย

      หากแม่ทัพลงโทษทหารทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิด ทำให้ทหารนั้นจะไม่เคารพยำเกรง และอาจจะเกิดการกระด้างกระเดื่องขึ้นในกองทัพยากแก่การบังคับบัญชา และหากทหารมีความผิดแต่ไม่ทำโทษตามวินัย แม้ทหารจะมีความเคารพนับถือในตัวแม่ทัพ แต่ก็จะใช้ให้ทหารเหล่านี้ออกรบไม่ได้ทหารนั้นจะย่อหย่อนทางวินัย

      การที่จะให้ทหารเชื่อฟังแม่ทัพ และเคารพยำเกรงในตัวแม่ทัพ ก่อนอื่นแม่ทัพจะต้องชนะใจทหารเสียก่อน ชนะได้ด้วยความมีเมตตากรุณา ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความเฉียบขาดในเรื่องระเบียบวินัย แม่ทัพที่ทำได้อย่างนี้ก็จะเป็นที่ยำเกรง และเป็นที่รักใคร่ของเหล่าทหาร สั่งสอนให้ทหารมีระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ทหารก็จะเคยชินกับระเบียบวินัยนั้น ถ้าหากไม่ค่อยสั่งสอนหรือย่อหย่อนในระเบียบวินัย ทหารก็จะไม่เคยชินกับระเบียบวินัย เมื่อระเบียบวินัยได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเป็นปกติ ความสามัคคีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พร้อมที่จะร่วมเป็นร่วมตายกันทุกสมรภูมิรบกับผู้เป็นแม่ทัพก็จะเกิดขึ้น

      แม่ทัพที่ปฏิบัติต่อผู้ทหารดั่งแม่ที่ทะนุถนอมลูกน้อย ทหารย่อมร่วมยินดีฝ่าฝันร่วมทุกข์ร่วมยากกับแม่ทัพ

      แม่ทัพที่ปฏิบัติต่อทหารเหมือนดั่งพ่อรักลูก ทหารย่อมที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับแม่ทัพได้

      ถ้าหากแม่ทัพปฏิบัติต่อทหารอย่างดี แต่เมื่อถึงเวลาใช้งานตามความสามารถกลับไม่ใช้ รักแต่ไม่อบรมสั่งสอน และเมื่อทหารทำผิดกับไม่ได้รับโทษ เมื่อเป็นเช่นนี้เหมือนกับเป็นการตามใจลูกจนเสียคน ทหารเหล่านี้จะใช้ทำการรบไม่ได้